ครบ 100 วัน หลังเลือกตั้งใหญ่พอดิบพอดี
ในที่สุดประเทศไทยก็ได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จากที่ประชุมร่วมรัฐสภาลงมติด้วยคะแนนท่วมท้น 485 เสียง โหวตให้นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย เป็นผู้นำรัฐบาลคนใหม่
โกยแต้มเข้าป้ายแบบม้วนเดียวจบ
ก่อนจะมีพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ นายเศรษฐา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงค่ำ วันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา
พร้อมกับการประกาศให้คำมั่นสัญญา
“ผมนายเศรษฐา ทวีสิน จะขอทำหน้าที่นายก รัฐมนตรีที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเททำงานหนัก รับฟังเสียงของประชาชน นำความสามัคคีกลับคืนสู่คนในชาติ
นำพาประเทศไทยไปข้างหน้าและสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับลูกหลานของพวกเราทุกคน นับจากวันนี้เป็นต้นไป”
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่แทบไม่มีเวลาไหว้ครู
เพราะนับตั้งแต่นาทีรู้ผลโหวตนายกฯในที่ประชุมร่วมรัฐสภา อารมณ์ของโลกโซเชียลมีเดียก็มีการทวงเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่นายเศรษฐาและพรรคเพื่อไทยประกาศเป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง
กลายเป็นกระแสดังกระหึ่มทั่วบ้านทั่วเมือง
เป็นเรื่องด่วนที่นายกฯ ป้ายแดงต้องชี้แจงผ่านคำถามนักข่าว ปฏิเสธรัฐบาลยังไม่เริ่มดำเนินการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตแต่อย่างใด

เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพที่ได้โอกาสหลอกลวงต้มตุ๋น
ร้อนถึงกระทรวงดิจิทัลฯต้องไล่ปิดแอปพลิเคชันเถื่อนที่เปิดให้ชาวบ้านลงทะเบียนรับแจกเงินหมื่นจากรัฐบาลล่วงหน้า
ไม่ทันได้เริ่มต้นก็ฝุ่นตลบ ประชานิยมยี่ห้อเพื่อไทยกลายเป็นมีดสองคม
เรื่องของเรื่อง มันสะท้อนอารมณ์ประชาชนต่างคาดหวังกับนโยบายของนายเศรษฐาและพรรคเพื่อไทย
อยากได้เงินไปใช้หมุนเวียนในห้วงเศรษฐกิจฝืดเคือง
ท่ามกลางเครื่องหมายคำถาม รัฐบาลเพื่อไทย จะไปเอาเงินจากตรงไหนมาใช้ในโครงการแจกเงินดิจิทัลกว่า 5 แสนล้านบาท
โอกาสแรกที่นายเศรษฐาจะโชว์ฟอร์มกระตุ้นเศรษฐกิจ
ขืนทำให้ชาวบ้านผิดหวังตั้งแต่ต้น ไม่เป็นผลดีกับนายกฯตัวสูงๆแน่
โดยเงื่อนไขสถานการณ์ “โจทย์เศรษฐกิจ” คืองานท้าทายของผู้นำรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่ที่หนักหนาสาหัสกว่าก็คือ “โจทย์การเมือง”
กับสูตร “พิสดาร” ที่ดันนายเศรษฐาขึ้นนายกรัฐมนตรี
ต้องมี “รายจ่าย” สูงลิบลิ่วในการผสมพันธุ์ข้ามขั้ว พรรคเพื่อไทยต้องสลัดตัวเองออกจากฝ่ายโหนประชาธิป ไตยมาร่วมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม
โดนผู้คนในสังคม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่รุมโห่ฮา
สร้างความขมขื่นให้มวลชนเสื้อแดงที่เชื่ออย่างสนิทใจมาตลอดว่า พรรคขวัญใจไม่มี วันญาติดีกับเผด็จการ
แนวร่วมสะบัดตูดหนี เพราะสุดกล้ำกลืนจูบปากลุง
ยิ่งเป็นอะไรที่เกี่ยวโยงกันอย่างชัดเจนตามเงื่อนไขสถานการณ์
กับปรากฏการณ์ที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้นำจิตวิญญาณของค่ายเพื่อไทย ตัดสินใจบินกลับประเทศไทย ในช่วงเช้าวันเดียวกับการโหวต “เศรษฐา” เป็นนายกฯในช่วงเย็น
เป็นไปตามฤกษ์ “ราหูสยบ” 22 สิงหาคม
เรื่องของอุดมการณ์ประชาธิปไตยถูกพักไว้ ไพ่ใบสุดท้ายของพรรคเพื่อไทย เดิมพันเดียวคือพา “นายใหญ่” กลับบ้าน
“ทักษิณ” ยอมเอาตัวเป็นประกัน เปิดทาง “เศรษฐา” ขึ้นแท่นนายกฯ

และไม่ใช่เรื่องตลก แต่มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆในการเมืองแบบไทยๆ คะแนนเป็นกลุ่มก้อนมากสุดที่กดปุ่ม “เห็นด้วย” กับแคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย มาจาก สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ 35 เสียง และ “สว.ลากตั้ง” กว่า 150 แต้ม
ขานเสียงดังฟังชัดอย่าง “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกลาโหม “บิ๊กนมชง” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ อดีต รมว.เกษตรฯ
น้องในสายเลือดและเพื่อนรัก สว.และ สส.เครือข่ายสายตรงของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม
ลูกแถว “ลุงตู่” ตบเท้าพรึบพรับ
รวมพลังหามแห่ “นอมินี” ทีมนายห้างดูไบขึ้นแท่นผู้นำ
ใครจะไปคาดคิดว่าจากคนที่ยึดอำนาจ “น้องปู” อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี 2557 ผ่านมา 9 ปี จะเป็น “บิ๊กตู่” คนเดียวกัน ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการนำอำนาจรัฐใส่พานคืนให้พรรคเพื่อไทย
พลิกโผ แทนที่จะเป็น “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าค่ายพลังประชารัฐ ที่ดูอาการก้อร่อก้อติก
ถูกจับทางเหยียบเท้ากันเล่นกับทีมนายห้างดูไบมาตลอด
แต่ถึงเวลาจริง กลับไม่มี “บิ๊กป้อม” ขานชื่อโหวตแคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงน้องรักสายตรงในทีม สว.ลากตั้ง สาย “บิ๊กบราเธอร์”
ตัวเลขหายไปอย่างมีนัยสำคัญ
ท่ามกลางกระแสข่าววงในดีลไม่ลงล็อก ไม่พอใจโควตารัฐมนตรีที่มีการเรียก “ของใหญ่” ต่อรองกันไม่จบจนเลยนาทีสุดท้าย
ค่ายของ “ลุงป้อม” ถูกกันอยู่ชั้นนอก ลำดับความสำคัญลดลงตามแรงเฮี้ยว

และก็สังเกตได้ โควตารัฐมนตรีของค่ายรวมไทยสร้างชาติ ลูกข่าย “ลุงตู่” ดูนิ่งที่สุดกับจำนวน 2 รัฐมนตรีว่าการ 2 รัฐมนตรีช่วย
โดยเฉพาะเก้าอี้ รมว.พลังงาน ที่ล็อกกันแน่น
ตามแผนของ “สปอนเซอร์” ใหญ่ ที่แท็กทีมกับบิ๊กทหารผู้มีพลังแรงฤทธิ์ ตัวเชื่อมประสาน “บิ๊กตู่” กับ “ทักษิณ” ทลายกำแพง “คู่ขัดแย้ง”
ปฏิบัติการสลายสี แดง เหลือง สลิ่ม
“ฮั้ว” ลงตัว ผนึก “ขั้วใหม่” ผสมพันธุ์อนุรักษ์นิยมกับประชาธิปไตย
กลายเป็นขั้ว “ไฮบริด” สูตรพิสดาร
ในสถานการณ์คู่ขัดแย้งทางการเมืองที่แปรเปลี่ยนไป กลายเป็นฝ่าย “จารีต” คนรุ่นเก่ากับฝ่าย “เสรีนิยม” คนรุ่นใหม่
ตามฟอร์มของพรรคก้าวไกลที่ประกาศเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก
ต่อเนื่องกับมุกหักดิบ “โหวตสวน” ไม่เห็นด้วยกับชื่อ “เศรษฐา” พรรคก้าวไกลตัดหางไม่ไว้ไมตรี อารมณ์แค้นจากที่โดนทีมเพื่อไทยขี่คอ หลอกใช้แรงงานเด็กมาตั้งแต่ต้น
“หนุ่มทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินหน้าเกมบุก ปลุกพลังแนวร่วมสีส้มสู้กับรัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้วที่ได้อำนาจมาแบบไม่ชอบธรรม ทำลายฉันทมติของประชาชนที่สะท้อนผ่านการเลือกตั้ง
กองทัพก้าวไกลส่งสัญญาณรบดุดันทั้งในสภา นอกสภา
เป้าหมายอยู่ที่เกมเลือกตั้งใหญ่รอบต่อไป
มุ่งปักธงส้มทั้งแผ่นดิน เหมากวาด สส.แบบไม่ต้องง้อพึ่งใคร.