ข่าวการเมือง "ร้านตัดผ้าวราภรณ์ รับตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี ชุดแบบฟอร์ม ชุดทำงาน ชุดไทย และจำหน่ายอุปกรณ์ประเภท ซิบ กระดุม ด้าย อื่นๆอีกมากมาย ยังจำหน่าย กรอบรูป ขายปลีกและส่งและยังบริการรับถ่ายรูปด่วน ขยายรูป ล้างรูป รับทำนามบัตร เคลือบบัตร ปริ้นงาน เข้าเล่ม สันเกียว สันกาว ถ่ายเอกสาร สีและขาวดำ ขนาดไซต์กระดาษตั้ง แต่ A4-F14-B4-A3 และยังบริการ ย่อ ขยายเอกสารฯลฯรับถ่ายทำ วีดีโอ ในและนอกสถานที่ราคาเป็นกันเอง ร้านตัดผ้าวราภรณ์อยู่ตรงข้าม โรงเรียนอนุบาลบ้านผือพิทยาภูมิถนนชนบทบำรุงอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ร้านตัดผ้าวราภรณ์ เปิด ปิดเวลา 06.00-18.00น. ทางร้านเปิดให้บริการทุกวัน ติดต่ดสอบถามโทร 0806299771 email hs3ghd15.s@gmail.comแฟกช์ 042282304.

5 กฎหมายน่ารื้อ เมื่อ พลเอกประยุทธ์ ประกาศนโยบาย ‘รื้อกฎหมายรังแกประชาชน’


การเลือกตั้งทั่วไปกำลังใกล้เข้ามา ทำให้หลายพรรคการเมืองเริ่มรณรงค์หาเสียงพร้อมเปิดนโยบายสำคัญ โดยหนึ่งในพรรคที่ต้องจับตาคือ พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค และคาดว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค

โดยหนึ่งในนโยบายชุดแรกที่พรรครวมไทยสร้างชาติประกาศออกมาคือ ‘รื้อกฎหมายที่รังแกประชาชน และเป็นอุปสรรคการทำกิน’

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ขยายความเรื่องนี้ไว้ว่า ทางพรรคได้ดำเนินการร่างกฎหมายสำคัญหลายฉบับเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน เช่น ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับที่ดิน หรือกฎหมายเกี่ยวกับการขออนุญาตประกอบกิจการ ฯลฯ

อย่างไรก็ดี ยังมีกฎหมายอีกอย่างน้อย 5 ฉบับที่เข้าข่ายเป็นกฎหมายรังแกประชาชน เนื่องจากเป็นกฎหมายที่ถูกนำมาใช้เพื่อลงโทษกลุ่มคนที่มีความเห็นต่างกับรัฐบาลหรือกลุ่มคนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ทว่า พรรครวมไทยสร้างชาติยังไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนต่อกฎหมายเหล่านี้ 

infographic: สิริลักษณ์ ตะเภาหิรัญ

 

เปิด 5 กฎหมายยอดนิยมที่เข้าข่าย ‘รังแกประชาชน’ ในยุค พล.อ.ประยุทธ์

ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่า นับตั้งแต่เริ่มการชุมนุมของ ‘เยาวชนปลดแอก’ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 มีประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากสถานการณ์ชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองไปแล้วอย่างน้อย 1,895 คน นับเป็นจำนวนคดีกว่า 1,180 คดี

หากนำจำนวนคดีมาจัดอันดับจะพบว่า 5 อันดับแรกของกฎหมายถูกนำมาใช้กับการชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมากที่สุด ประกอบไปด้วย

1. ข้อหา ‘ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน’ เช่น การรวมกลุ่มหรือชุมนุมทางการเมือง มีผู้ถูกกล่าวหาดำเนินคดีอย่างน้อย 1,467 คน รวมแล้วไม่น้อยกว่า 663 คดี 

นับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ โดยอ้างความจำเป็นในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และใช้งานอย่างต่อเนื่องยาวนานมากกว่าสองปี แต่ตลอด 2 ปีของการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดูเหมือนภาครัฐจะนำมาใช้กับการควบคุมการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน โดยเฉพาะการชุมนุม มากกว่าการควบคุมโรคระบาด 

เนื่องจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีมาตรการจำกัดสิทธิเสรีภาพที่รุนแรง ยกตัวอย่างเช่น การห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในลักษณะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อีกทั้งพลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกฯ ยังออกข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมการชุมนุมอย่างน้อย 12 ฉบับ ซึ่งในจำนวนนี้มีการสั่งห้ามชุมนุมแบบกว้างขวางอยู่อย่างน้อย 3 ฉบับ โดยกำหนดว่า 

“ห้ามมิให้มีการชุมนุม การทำกิจกรรม หรือการมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ในสถานที่แออัดหรือกระทำการดังกล่าวอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย” 

ปัญหาของการออกคำสั่งห้ามชุมนุมแบบกว้างขวางทำให้เจ้าหน้าที่รัฐนำมาใช้จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขวางด้วยเช่นกัน เพราะในหลายกรณีเป็นการชุมนุมในที่เปิดโล่งไม่ใช่สถานที่แออัด และไม่ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ แต่เจ้าหน้าที่รัฐก็มีการตั้งข้อหาดำเนินคดี แม้ต่อมาศาลจะมีคำพิพากษายกฟ้อง แต่ก็สร้างภาระให้กับประชาชนในการต่อสู้คดี

ยกตัวอย่างเช่น คดีชุมนุม #เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย หรือ ‘ม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์’ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ต่อมาศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่า การชุมนุมเกิดในสถานที่เปิดโล่ง อากาศถ่ายเท ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่สวมใส่หน้ากากอนามัย ไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงเกิดเหตุในประเทศไทย และรัฐบาลมีการควบคุมอย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว โดยภาพรวมแล้ว ถือว่าการชุมนุมยังไม่ก่อให้เกิดการระบาดของโรค 

นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้นำ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาใช้กับการชุมนุมที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ยกตัวอย่างเช่น การชุมนุมคาร์ม็อบ หรือการใช้รถยนต์ในการชุมนุมเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด แต่ก็ถูกดำเนินคดี ยกตัวอย่างเช่น คดีคาร์ม็อบสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 แต่ต่อมาศาลก็ได้พิพากษายกฟ้องอีกเช่นเดียวกัน เนื่องจากเห็นว่ากิจกรรมมิได้รวมตัวกันอยู่ในพื้นที่ปิด สภาพอากาศถ่ายเทสะดวก ยังไม่ถึงขนาดเป็นสถานที่แออัดเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค 

2. ข้อหา ‘หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์’ ตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีผู้ถูกกล่าวหาดำเนินคดีอย่างน้อย 233 คน รวมแล้วไม่น้อยกว่า  253 คดี

หลังการชุมนุมของ ‘เยาวชนปลดแอก’ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 ทำให้การชุมนุมเพิ่มมากขึ้น และเพดานของข้อเรียกร้องก็สูงขึ้น จากการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ไปสู่การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้เป็นประชาธิปไตย 

ด้วยเหตุนี้ ทาง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงออกประกาศแถลงว่า “รัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องใช้กฎหมายทุกฉบับทุกมาตราที่มีอยู่” 

หลังการแถลงของนายกรัฐมนตรี มีการตั้งข้อหาดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ย้อนหลังกับบรรดาแกนนำและผู้ชุมนุมหลายคดี และทำให้ยอดผู้ต้องหาในคดี 112 เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2-3 เท่าภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้งดเว้นการบังคับใช้มาตรา 112 มาตั้งแต่ปี 2561 เนื่องจากการตั้งคำถามและการวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนผ่านกฎหมายดังกล่าว

สำหรับปัญหาของกฎหมายอาญา มาตรา 112 สามารถแบ่งออกเป็น 2 มิติ 

มิติแรก คือปัญหาจากตัวบท เนื่องจากกฎหมายเปิดช่องให้ใครเป็นผู้ริเริ่มคดีก็ได้ จึงนำไปสู่การฟ้องกลั่นแกล้งกัน และกฎหมายยังมีอัตราโทษสูงเมื่อเปรียบกับความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาหรือความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ในต่างประเทศ อีกทั้งกฎหมายยังไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน และไม่มีข้อยกเว้นสำหรับการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ จึงทำให้การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองตามปกติในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยกลายเป็นความผิด

ยกตัวอย่างเช่น คดีของ ตะวัน-ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และพวก จากการทำโพลที่ห้างสยามพารากอน ที่ถามคำถามว่า “คุณคิดว่าขบวนเสด็จสร้างความเดือดร้อนหรือไม่?” ซึ่งการแสดงออกดังกล่าวเป็นการแสดงออกในเชิงตั้งคำถาม ไม่ได้มีลักษณะของการยืนยันข้อเท็จจริงอันจะเข้าองค์ประกอบการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ได้ แต่เจ้าหน้าที่ก็ทำการแจ้งข้อหาดำเนินคดี โดยที่ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า ส่วนใดของกิจกรรมดังกล่าวที่เข้าข่ายเป็นความผิดตามข้อหามาตรา 112

มิติที่สอง คือปัญหาการบังคับใช้ โดยพบว่า มีการนำกฎหมายนี้มาใช้ดำเนินคดีกับการแสดงออกทางการเมืองอย่างกว้างขวาง แม้การกระทำดังกล่าวจะไม่เข้าข่ายตามองค์ประกอบความผิดที่กฎหมายกำหนดไว้ อีกทั้งกระบวนการยุติธรรมยังกลายเป็นเครื่องมือในการจำกัดการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการไม่ให้ประกันตัวกับนักกิจกรรมทางการเมือง การวางเงื่อนไขในการประกันตัวไม่ให้ออกไปเคลื่อนไหวอีก เป็นต้น

ยกตัวอย่างเช่น คดีของ มุก-พิมพ์สิริ ปราศรัยถึงหน้าที่ของกองทัพไทยและสถาบันฯ ในการทำรัฐประหาร พร้อมกล่าวถึงข้อคิดเห็นของผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติ ว่าไม่มีการใช้กฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย แต่กลับถูกดำเนินคดีในข้อหามาตรา 112 

3. ข้อหา ‘นำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จฯ’ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีผู้ถูกกล่าวหาดำเนินคดีอย่างน้อย 161 คน รวมแล้วไม่น้อยกว่า 182 คดี

พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เป็นหนึ่งในกฎหมายที่ถูกนำมาใช้กับการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ และหลายกรณีถูกนำมาใช้ควบคู่ไปกับกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือ 116 ซึ่งมาตราสำคัญที่ถูกนำมาใช้ดำเนินคดี คือ มาตรา 14 (2) และ (3)  

โดยกฎหมายระบุว่า การนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือ นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

จากบทบัญญัติในกฎหมาย ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐนำมาใช้ดำเนินคดีกับผู้ที่โพสต์หรือแชร์ ‘ข้อมูลอันเป็นเท็จ’ ที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ทั้งในทางสาธารณะ เศรษฐกิจ หรือจะต้องก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน หรือเป็นความผิดที่เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เช่น โพสต์ข้อความที่เข้าข่ายผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือมาตรา 116 ก็จะถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ด้วย 

ที่ผ่านมา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ถูกนำมาใช้กับการแสดงความคิดเห็นที่เป็นการติชมหรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล หรือการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ทั้งที่ไม่เข้าองค์ประกอบความผิด ยกตัวอย่างเช่น คดี 8 แอดมินเพจเรารักพลเอกประยุทธ์ ที่ถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดฐานยุยงปลุกปั่นฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการทำเพจวิพากษ์วิจารณ์และเสียดสีรัฐบาล 

แต่ท้ายที่สุด ศาลมีคำสั่งยกฟ้องในคดีข้างต้น เพราะเห็นว่าการกระทำของจำเลย ทั้งจัดทำรูปภาพ เนื้อหามีถ้อยคำไม่เหมาะสม แต่ไม่ใช่เหตุที่จะยกขึ้นวินิจฉัยว่ามีเจตนาพิเศษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ความเห็นของจำเลยมีความแตกต่างกับรัฐบาลไปบ้าง แต่เป็นธรรมดาตามวิถีปกครองระบอบประชาธิปไตย

อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ถูกนำมาใช้อย่างซ้ำซ้อนกับกฎหมายฉบับอื่น ทั้งนี้เนื่องมาจากการบังคับใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพราะเริ่มแรกเดิมที พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้กับความผิดในเชิงระบบ กล่าวคือ ‘ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ’ โดยแท้จริงแล้วหมายถึง ‘ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ถูกปลอมแปลงขึ้นมา’ เช่นเดียวกับการปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการปลอมแปลงเว็บไซต์เพื่อฉ้อโกง ไม่ใช่การนำมาใช้ควบคุมการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์

4. ข้อหา ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมฯ เช่น การจัดชุมนุมโดยไม่แจ้งล่วงหน้า มีผู้ถูกกล่าวหาดำเนินคดีอย่างน้อย 132 คน รวมแล้วไม่น้อยกว่า  77 คดี

พ.ร.บ.ชุมนุมฯ เป็นกฎหมายที่ถูกตราขึ้นหลังการรัฐประหารในปี 2557 ผ่านการเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร ด้วยเหตุนี้ เนื้อหาของกฎหมายจึงมีลักษณะของการจำกัดหรือควบคุมการใช้เสรีภาพในการชุมนุมมากกว่าการคุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุมตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล

เมื่อดูบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ จะพบว่า กฎหมายมีหลักเกณฑ์และข้อจำกัดที่เข้มงวดอันกระทบต่อสาระสำคัญของการใช้สิทธิเสรีภาพ เช่น การกำหนดให้ต้องแจ้งการชุมนุมล่วงหน้าแบบเคร่งครัด หากไม่ปฏิบัติตามจะถือว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือพื้นที่ห้ามชุมนุมที่ไม่ชัดเจนทำให้เสรีภาพในการชุมนุมในฐานะการมีส่วนร่วมทางการเมืองถูกลดทอนลง

โดยปัญหาของ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 

หนึ่ง ปัญหาเกี่ยวกับตัวบทกฎหมายและการตีความ โดยจะเห็นได้ว่า กฎหมายทุกบังคับใช้อย่างกว้างขวางเกินความจำเป็น เช่น การรวมตัวกันไปยื่นหนังสือถึงหน่วยงานราชการ หรือการเดินทางเข้าร่วมรับฟังการประชุมที่หน่วยงานรัฐจัดขึ้น ก็ถูกตีความว่าเป็นการชุมนุม แม้การรวมกลุ่มดังกล่าวจะมีขนาดเล็กและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่สาธารณะ และทำให้ประชาชนต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การชุมนุม เช่น ต้องแจ้งการชุมนุมล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง

สอง ปัญหาการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจภายใต้ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ โดยจะเห็นได้ว่า แนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจไม่ได้เป็นไปตามกฎหมาย ยกตัวอย่างเช่น การใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่ม ‘ราษฎรหยุด APEC’ ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 บริเวณถนนดินสอ เป็นการใช้อำนาจนอกกฎหมายที่ชัดเจน เนื่องจากการชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมที่มีการแจ้งการชุมนุมล่วงหน้า ดังนั้น ตามขั้นตอนการจะสลายการชุมนุมจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลให้ศาลสั่งเลิกการชุมนุม และเมื่อศาลสั่งเลิกการชุมนุมก็ต้องแจ้งต่อผู้ชุมนุมให้ยุติการชุมนุมก่อน ถึงจะใช้กำลังในการสลายการชุมนุมได้

นอกจากนี้ ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมม็อบ APEC เจ้าหน้าที่รัฐใช้กระสุนยางในระดับศีรษะและยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมทั่วไป โดยไม่ได้เลือกเป้าหมายเฉพาะที่ทำอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่เป็นไปตามแนวปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำในการบังคับใช้กฎหมาย และปืนยิงกระสุนยางถูกหยิบขึ้นมาใช้ทันที โดยอุปกรณ์ที่ความร้ายแรงน้อยกว่าอย่างการฉีดน้ำยังไม่ได้ถูกนำมาใช้จึงไม่ได้เป็นไปตามมาตรการการควบคุมการชุมนุมที่ต้องใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก และต้องหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงไว้ก่อน

5. ข้อหา ‘ยุยงปลุกปั่น’ ตามกฎหมายอาญา มาตรา 116 มีผู้ถูกกล่าวหาดำเนินคดีอย่างน้อย 128 คน รวมแล้วไม่น้อยกว่า  40 คดี

หลังการรัฐประหารในปี 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้นำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 มาใช้อย่างกว้างขวาง ทั้งใช้กับการชุมนุมหรือแสดงออกทางการเมืองในที่สาธารณะ รวมถึงใช้ควบคู่กับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาตรา 14 กับผู้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองบนโลกออนไลน์ 

หากพิจารณาจากตัวบทกฎหมายจะพบว่า มาตรา 116 ได้กำหนดความผิดไว้สำหรับการแสดงออกในเชิงยุยงปลุกปั่นให้เกิดการใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล หรือเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร กล่าวคือ มาตรา 116 เป็นกฎหมายที่มีไว้สำหรับการปลุกระดมให้คนไปก่อเหตุร้ายหรือใช้ความรุนแรง แต่ไม่ได้มีไว้สำหรับการป้องปรามการแสดงความคิดเห็นในเชิงติชมหรือวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใด 

แต่สาเหตุที่ทำให้มาตรา 116 กลายมาเป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะการแสดงออกทางการเมือง คือ

หนึ่ง ปัญหาจากตัวบท ที่ขาดความชัดเจนแน่นอนต้องอาศัยการตีความ ยกตัวอย่างเช่น มาตรา 116 (2) ที่กำหนดให้การกระทำในลักษณะที่จะทำให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร ซึ่งคำว่า ‘ความปั่นป่วน’ ‘กระด้างกระเดื่อง’ หรือ ‘ก่อความไม่สงบ’ ล้วนเป็นถ้อยคำที่มีลักษณะเป็นอัตวิสัยที่เปิดช่องให้รัฐตีความและใช้ตั้งข้อหาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

สอง ปัญหาจากการบังคับใช้ โดยพบว่า มีการนำมาใช้จัดการกับกลุ่มที่แสดงออกในเชิงต่อต้านหรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และการใช้ข้อหาหนักจึงเป็นการสร้างภาระให้กับคนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองให้มีต้นทุนในการเคลื่อนไหวสูงขึ้น และเพิ่มภาระให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องใช้หลักทรัพย์ในการประกันตัวที่สูงขึ้นตามไปด้วย

ตัวอย่างของคดีที่สะท้อนปัญหาการบังคับใช้มาตรา 116 ได้แก่ คดีแกนนำผู้ชุมนุมคนอยากเลือกตั้ง หรือ ‘คดี ARMY57’ ที่จัดการชุมนุมและปราศรัยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และเคลื่อนขบวนไปชุมนุมหน้ากองบัญชาการทัพบก ในวันที่ 24 มีนาคม 2561 โดยคดีนี้ อัยการสั่งฟ้องด้วยข้อหาตามมาตรา 116 แต่ต่อมา ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจาก เห็นว่าการชุมนุมดังกล่าวเป็นไปอย่างสงบสันติ ไม่มีความรุนแรง หรือพฤติกรรมยุยงปลุกปั่น เป็นการกระทำซึ่งเป็นวิถีในระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นการชุมนุมตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญและสิทธิพลเมือง

 

{Fulllwidth}
แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า

สื่อโฆษณา

ไทยฟูลนิวส์
"ร้านตัดผ้าวราภรณ์ รับตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี ชุดแบบฟอร์ม ชุดทำงาน ชุดไทย และจำหน่ายอุปกรณ์ประเภท ซิบ กระดุม ด้าย อื่นๆอีกมากมาย ยังจำหน่าย กรอบรูป ขายปลีกและส่งและยังบริการรับถ่ายรูปด่วน ขยายรูป ล้างรูป รับทำนามบัตร เคลือบบัตร ปริ้นงาน เข้าเล่ม สันเกียว สันกาว ถ่ายเอกสาร สีและขาวดำ ขนาดไซต์กระดาษตั้ง แต่ A4-F14-B4-A3 และยังบริการ ย่อ ขยายเอกสารฯลฯรับถ่ายทำ วีดีโอ ในและนอกสถานที่ราคาเป็นกันเอง ร้านตัดผ้าวราภรณ์อยู่ตรงข้าม โรงเรียนอนุบาลบ้านผือพิทยาภูมิถนนชนบทบำรุงอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ร้านตัดผ้าวราภรณ์ เปิด ปิดเวลา 06.00-18.00น. ทางร้านเปิดให้บริการทุกวัน ติดต่ดสอบถามโทร 0806299771-สนใตลงสื่อโฆษณา0612301227 email hs3ghd15.s@gmail.comแฟกช์ 042282304.