รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย จี้ กกต. ออกระเบียบสอบที่มาเงินบริจาคพรรคการเมือง ด้าน “ชูศักดิ์” ชี้ ปม พปชร.รับ 3 ล้าน อาจมีเหตุยุบพรรค แต่เพื่อไทยเจ็บมาเยอะไม่ขอยื่นยุบพรรคคนอื่น
วันที่
28 ต.ค. 2565 น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย
กล่าวถึงกรณี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม
ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ยอมรับว่าได้รับเงินบริจาคจาก
นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ “หาวเจ๋อ ตู้”
เจ้าของผับดังย่านยานนาวา ถูกตำรวจบุกทลายปาร์ตี้ยาเสพติด
จริงตามหลักเกณฑ์ที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนด
และพรรคพลังประชารัฐไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับผู้บริจาค
และไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ว่า การปฏิเสธความเชื่อมโยงเงินบริจาค 3
ล้านบาท ของนายสมศักดิ์ ดูเป็นคำตอบที่ปฏิเสธความรับผิดชอบใช่หรือไม่
การตรวจสอบที่มาของเงินบริจาค โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด
เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการใช้อำนาจรัฐในการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้บริจาค
อยากเรียกร้องให้ กกต. ตรวจสอบเรื่อง 2
สัญชาติในการบริจาคมีผลต่อการรับเงินบริจาคของพรรคการเมืองหรือไม่
เพื่อให้เกิดความกระจ่างกับสังคมและควรมีการกำหนดระเบียบ
ออกข้อบังคับให้สามารถตรวจสอบการบริจาคเงินของพรรคการเมือง เพื่อไม่ให้เกิด
การฟอกขาวของเครือข่ายธุรกิจสีเทาในอนาคต
ด้าน นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ขออนุญาตแสดงความเห็นทางกฎหมายเป็นหลัก ตนไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะไปยื่นยุบพรรคนั้นพรรคนี้ ตามข้อเท็จจริงผู้บริจาคเงิน 3 ล้านบาทให้พรรค พปชร.เดิมเป็นคนสัญชาติจีน แต่ได้ขอแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และได้สัญชาติเรียบร้อยเมื่อวันที่ 22 ต.ค.57 ซึ่งตาม พ.ร.บ.สัญชาติ ม.19(2) บุคคลจะขอแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทยต้องไม่ใช้สัญชาติเดิม (มิเช่นนั้นจะถูกถอนสัญชาติไทย) ดังนั้นจึงอาจเข้าใจได้ว่าปัจจุบันผู้บริจาคถือสัญชาติไทยเพียงสัญชาติเดียว และในวันที่บริจาคเงินให้ พปชร.คือวันที่ 5 พ.ค.64 ได้ถือสัญชาติไทยแล้ว จึงไม่ขัด ม.74(1) พ.ร.ป.พรรคการเมืองที่ห้ามรับบริจาคเงินจากบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย อย่างไรก็ตามใน ม.72 พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ ยังห้ามมิให้พรรคการเมืองรับบริจาคเงิน โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยมิชอบด้วย กฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งการบริจาคเงินถึง 3 ล้านบาท น่าจะต้องมีการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงิน กรณีนี้ผู้ตอบคำถามได้ดีที่สุดคือ พรรค พปชร.และหากเข้าข่ายมาตรานี้ก็อาจถือเป็นเหตุยุบพรรคการเมืองได้ตาม ม.92 (3)
เมื่อถามว่าจะยื่นยุบพรรค พปชร.หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเจ็บปวดกับการใช้การยุบพรรคเป็นเครื่องมือทางการเมือง พรรคถูกยุบมีผลให้สมาชิกพรรคเป็นหมื่นเป็นแสนคนต้องสิ้นสภาพสมาชิกไปด้วย เราจึงเห็นว่าการยุบพรรคควรมีกรณีเดียวเท่านั้น คือการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กรณีอื่นๆ ให้เป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารพรรค แต่ก็น่าเสียดายเราขอแก้กฎหมาย แต่รัฐสภาไม่ผ่านให้ เท่าที่ทราบเห็นมีนักร้องเขาไปร้องกันก็ว่ากันไป ให้เป็นเรื่องนายทะเบียนพรรคการเมือง เราคงไม่ไปยุ่งด้วย แม้จะอยู่คนละขั้วกันทางการเมืองก็ตาม
>{Fullwidth}